ชื่อไทย : กระท้อน
ชื่อท้องถิ่น : เตียน, ล่อน(ใต้)/ มะต้อง(เหนือ,อุดรธานี)/ มะติ๋น(เหนือ) / สะท้อน(ใต้,อุบลราชธานี) 
ชื่อสามัญ : Sentul/ Santol/ Red sentol/ Yellow sentol
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr.
ชื่อวงศ์ : MELIACEAE
ลักษณะวิสัย : ไม้ยืนต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ลำต้น :
เป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 30 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกล่อนเป็นสะเก็ดใหญ่หรือเป็นปุ่มปม โคนต้นแก่เป็นพูพอน
ใบ :
เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวียน มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่หรือรูปรีค่อนข้างกลม กว้าง 5-11 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีขนตามเส้นใบใบอ่อนมีขนสีเหลือง ใบแก่สีแดง ก้านใบย่อยปลายสุดยาว 2.5-5 ซม. ก้านใบย่อยคู่ล่างยาว 2-8 มม
ดอก :
ดอกสีเหลืองอมเขียว กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปขอบขนาน เกสรเพศผู้มี 10 อัน ติดกันเป็นหลอด ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกยาวถึง 15 ซม. ทยอยบานนาน 7-10 วันจึงโรยและเริ่มติดผล
ผล :
กลมแป้น ขนาด 5-8 ซม. หรือมีขนาดใหญ่ได้ถึง 20 เซนติเมตร ผิวเป็นกำมะหยี่สีเหลืองอมส้ม ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อแข็งด้านนอก และด้านในเนื้อนุ่มเป็นปุยสีขาวที่หุ้มเมล็ดไว้ เปลือกหนา มียางสีขาวเล็กน้อย ผลสุกสีเหลืองนวล ผิวเริ่มย่น เมล็ด เมล็ดมี 3-5 เมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นปุยสีขาวมีรสเปรี้ยวหรือหวาน
ระยะติดดอก - ผล :
เริ่มติดดอก : มกราคม สิ้นสุดระยะติดดอก : มีนาคม
เริ่มติดผล : มีนาคม สิ้นสุดระยะติดผล : พฤษภาคม

สภาพทางนิเวศวิทยา : นิเวศวิทยา ป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของไทย ถิ่นกำเนิด เขตร้อนแถบมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดียและไทย การกระจายพันธุ์ การใช้งานด้านภูมิทัศน์
การปลูกและการขยายพันธุ์ : ทนทานสภาพแห้งแล้วได้ดี ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด
รายละเอียดการใช้ประโยชน์ : - เปลือกต้น มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด รักษาโรคผิวหนัง แก้ท้องเสีย - เปลือกลูก มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด เป็นยาสมาน - ใบ มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด ใช้ต้มอาบแก้ไข้ ใช้ขับเหงื่อ [1] - ราก มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด แก้ท้องร่วง แก้บิด มูกเลือด ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไข้รากสาด [1], [2] - ปรับปรุงเป็นไม้ผลหลายพันธุ์ เนื่องจากเนื้อมีรสหวาน ผลใหญ่รับประทาสดหรือยังนำมาทำอาหารคาวหวาน [2] - เป็นผลไม้ที่ให้คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม วิตามินซี และใยอาหารสูง แต่ผู้เป็นโรคไตไม่ควรกินมาก - รากนำมาตำใส่น้ำและน้ำส้มสายชูดื่ม ช่วยดับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้บิด ช่วยขับลม - เปลือกต้นนำมาต้มน้ำอาบ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง หรือดื่มแก้พิษงู แก้ท้องเสีย ใบแก้ไข้ - ผลแก้บวมและขับพยาธิ [3] - เนื้อไม้แข็งและมีคุณภาพดี จึงใช้สร้างบ้านหรือทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้ [2], [3]
แหล่งอ้างอิง : [1] คณะกรรมการวิชาการดำเนินงานส่วนสวนสมุนไพรพืชสวนโลก. 2549. สวนสมุนไพรในงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549. Herbal Garden in Royal Flora Expo 2006. บริษัท สามเจริญพาณิชย์(กรุงเทพฯ) จำกัด. กรุงเทพมหานคร. [2] มูลนิธิสวนหลวง ร. ๙. 2547. ไม้นามตามถิ่น. พิมพ์ครั้งที่ 1. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด. กรุงเทพมหานคร. [3] อุไร จิรมงคลการ. 2547. ผลไม้ในสวน. Fruits. พิมพ์ครั้งแรก. สำนักพิมพ์บ้านและสวน. กรุงเทพมหานคร.
ประเภทของการใช้ประโยชน์ :
พืชล่อแมลง
ไม้ผล
ไม้ยืนต้น
พืชสมุนไพร
ที่อยู่ :
หมายเหตุ : กระท้อนที่ปลูกในเมืองไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กระท้อนพันธุ์พื้นเมือง หรือกระท้อนป่าพบอยู่ตามป่าทั่วทุกภาค ต้นสูงใหญ่ แข็งแรง ทนทาน แต่มีผลขนาดเล็ก กลมแป้น รสเปรี้ยวจัด หรือเปรี้ยวอมหวาน และเนื้อบาง จึงไม่นิยมนำมาบริโภค แต่นิยมนำเนื้อไม้ที่มีลายสวยงามทำเฟอร์นิเจอร์ บางก็นำเมล็ดมาเพาะเพื่อใช้ทำต้นตอเสียบยอดหรือทาบกิ่ง 2. กระท้อนหวาน กลายพันธุ์มาจากกระท้อนพันธุ์พื้นเมือง โดยมีการนำเมล็ดจากต้นเก่ามาเพาะซึ่งต้นที่ได้มักกลายพันธุ์ไปจากต้นเดิม จึงมีการคัดเลือกต้นที่มีรสชาติดี แล้วนำไปเพาะเมล็ดใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งได้ต้นที่ให้ผลใหญ่ รสอร่อย มีกลิ่นหอมกว่าพันธุ์พื้นเมือง ส่วนมากชาวสวนจะนำใบตองหรือถุงกระดาษมาห่อผลที่ยังอ่อนเพื่อป้องกันแมลง บางท้องถิ่นจึงเรียกว่า “กระท้อนห่อ” ซึ่งมีหลายพันธุ์ และบางพันธุ์คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น พันธุ์ไหว พันธุ์ตาอยู่ ส่วนพันธุ์ที่นิยมปลูกกันในปัจจุบันได้แก่ พันธุ์ทับทิม เดิมปลูกแถบฝั่งธนบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 มีผู้นำมาปลูกที่จังหวัดนนทบุรี แต่ถูกน้ำท่วมตายเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันยังคงมีเหลืออยู่บ้าง นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย เพราะปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว และให้ผลดก แต่ผลค่อนข้างเล็ก มีน้ำหนักประมาณ 200 กรัมต่อผล ผลกลมแป้น เนื้อบางนิ่ม ปุยหนา มีปุยแทรกเนื้อ รสหวานอมเปรี้ยว ให้ผลดกและแก่เร็ว ประมาณเดือนพฤษภาคมสามารถเก็บผลได้ แต่มีข้อเสียคือ ถ้าผลแก่แล้วยังไม่เก็บผลจะแตกง่าย และถ้าฝนตกชุกจะทำให้ไส้แดง พันธุ์ทับทิมทอง ผลกลมหรือกลมสูง มีน้ำหนัก 400-800 กรัมต่อผล ขั้วสั้น ผิวสีเหลืองทอง ขรุขระเล็กน้อย โดยเฉพาะด้านขั้นผล ส่วนก้นผลเรียบ เนื้อหนาแน่นมีปุยแทรกเนื้อ รสหวานอมเปรี้ยว และฝาดเล็กน้อย ปุยหุ้มเมล็ดฟู รสหวาน เมล็ดใหญ่ เป็นพันธุ์เบาสามารถเก็บผลได้ในเดือนพฤษภาคมเช่นเดียวกัน พันธุ์เทพรส ผลกลมสูงเล็กน้อย มีน้ำหนัก 250-500 กรัมต่อผล ขั้วสั้น ผิวเรียบ มีขนอ่อนนุ่มมือ สีน้ำตาลเข้ม สันด้านข้างบริเวณพูของเมล็ดนูนชัดเจนกว่าพันธุ์อื่น เนื้อหนานุ่ม มีปุยแทรกเนื้อ รสหวานอมเปรี้ยว ปุยหุ้มเมล็ดรสหวานจัด เมล็ดใหญ่ เก็บผลได้ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พันธุ์นิ่มนวล กลายพันธุ์มาจากพันธุ์ทับทิม เดิมชื่อพันธุ์ “เมล็ดในทับทิม” ผลกลม ขนาดปานกลาง มีน้ำหนัก 300-600 กรัมต่อผล มีขั้นสั้น ผิวเรียบ สีเหลืองอมน้ำตาล เปลือกบาง เนื้อหนานิ่มกว่าพันธุ์ทับทิม จึงตั้งชื่อใหม่ว่าพันธุ์นิ่มนวล ปุยแทรกเนื้อ รสหวานอมเปรี้ยว ปุยหุ้มเมล็ดหนาฟู รสหวานจัด เมล็ดไม่ใหญ่นัก เป็นพันธุ์ที่ให้ผลดก แต่เป็นพันธุ์หนัก สามารถเก็บผลได้ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พันธุ์ปุยฝ้าย คาดว่ากลายพันธุ์มาจากพันธุ์ทองหยิบ เพราะมีลักษณะคล้ายกัน ผลค่อนข้างใหญ่ มีน้ำหนัก 400-800 กรัมต่อผล ขั้วผลสั้น ผลมีขนนุ่มปกคลุม ผิวสีเหลืองอมน้ำตาล เปลือกบาง ผลด้านใกล้กับขั้วจะนูนขึ้นหรือขรุขระเล็กน้อย ก้นผลเรียบ เนื้อหนานุ่ม มีปุยแทรกเนื้อจนถึงเปลือก รสหวานอมเปรี้ยว ไม่ฝาด ปุยหุ้มเมล็ดหนาฟู รสหวานจัด เมล็ดโตแบน เก็บผลได้ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมเช่นกัน พันธุ์อีล่า พบโดยนายกุล แย้มแพ ซึ่งนำเมล็ดมาปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2471 ลักษณะผลมีคุณภาพดีกว่าต้นเดิม แต่เก็บผลได้ช้ากว่าพันธุ์อื่น จึงเรียกว่า “อีล่า” ลักษณะเด่นคือ ใบใหญ่และผลใหญ่กว่าพันธุ์อื่น ขั้วผลใหญ่ ผลดอกมาก ติดผลง่าย ร่วงยาก ปุยหนา รสหวานจัดและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกในเดือนกุมภาพันธุ์ เก็บผลได้ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน และเป็นพันธุ์ที่ขายได้ราคากว่าพันธุ์อื่นๆ
รูปพรรณไม้ :
   
Copyright © 2011 Royalpark Rajapruek All rights reserved.
ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50100
โทร 053-114110-5 แฟกซ์ 053-114196 E-Mail : [email protected]
เริ่มใช้งานระบบเมื่อ 1 มิถุนายน 2554